วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

verb to be

Verb to be (is, am, are)

        Verb  to  be  มีหลักการใช้  ดังนี้
 1.            ถ้าเป็นกริยาสำคัญในประโยค  มีความหมายว่า  เป็น  อยู่  คือ
2.            ใช้วางข้างหน้า กลุ่มคำ   adjective  ( คำคุณศัพท์ )
3.            ใช้เป็นกริยาช่วยในโครงสร้างของประโยค Continuous ( ประโยคที่มี กริยา ing )
4.            ใช้เป็นกริยาช่วยในโครงสร้างของประโยค Passive  Voice
ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ )

หลักการใช้กับประธานในประโยค
            1.  ถ้าประธานที่เป็นเอกพจน์บุรุษที่  3  ซึ่งได้แก่  He  She  It  หรือ ชื่อคนคนเดียว
     สัตว์ตัวเดียว  และสิ่งของอันเดียวที่ถูกกล่าวถึง  Verb  to  be  ที่ใช้  คือ  is   เช่น
                        *He  is  a  teacher.                               *Sam  is  a  singer
                        *She  is  in  the  room.                         *My  father   is  sleeping.
                        *It  is  a  dog.                                       *The  pencil  is  on  the  table
            2.   ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่  1  (  ผู้พูดคนเดียว ซึ่งได้แก่  I  Verb  to  be ที่ใช้  คือ  am                    
                        *I  am  a  student.                                *  I  am  under  the  table.
            3.  ประธานเป็นพหูพจน์ทุกบุรุษ  ซึ่งได้แก่  We  You  They   หรือ ชื่อคนหลาย 
     สัตว์หลายตัว และสิ่งของหลายอันที่ถูกกล่าวถึง  Verb  to  be  ที่ใช้  คือ  
     are  เช่น
                        *We  are  nurses.                    *My  father  and  I  are  in  the  room.
                         *They  are  policemen.           *Suda and  her  friends  are  under  the  tree.
                        *You  are  very  good.            *The  players  are  in  the  playground.

การสร้างประโยคที่มี Verb  to  be  ให้เป็นประโยคปฏิเสธ.
มีวิธีการดังนี้
            เติม  not   ลงไปในตำแหน่งที่เรียงต่อจาก Verb  to  be    หลัง  is  am  are  เช่น
                        *He  is  not  in  the  room.                   *I  am  not  a  child.
                        *They  are  not  teachers.                    *Suda  is  not  reading.
 หมายเหตุ         รูปย่อของ ปฏิเสธ Verb  to  be  คือ  is  not  ย่อเป็น  isn’t
                        am  not  จะไม่ใช้รูปย่อ                        are  not  ย่อเป็น  aren’t

        การทำประโยคที่มี  Verb  to  be ให้เป็นประโยคคำถาม Yes  No  Question 
มีหลักการดังนี้
            เอา  Verb  to  be  มาวางหน้าประโยค  และเอาประธานของประโยคมาวาง
เรียงต่อจากVerb  to  be  หลังจบประโยค  ต้องใส่เครื่องหมายคำถาม เช่น
                        He  is  in  the  room. เปลี่ยนเป็น  Is  he  in  the  room ?
                        They  are  soldiers     เปลี่ยนเป็น   Are  they  soldiers?


                        I  am  a  boy.             เปลี่ยนเป็น  Am  I  a  boy ?

do /does

ในภาษาอังกฤษจะพบได้ว่า การตั้งประโยคคำถามจำนวนมาก มีคำศัพท์ Do และ Does เป็นส่วนประกอบอยู่ ดังนั้นในวันนี้เรามาดูกันว่า ทั้งสองคำนี้มีหลักการใช้ที่ถูกต้องอย่างไร
หลักการใช้ Do และ Does

ตัวอย่างการเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคำถามด้วย Do และ Does

ประโยคบอกเล่า : You speak English. คุณพูดภาษาอังกฤษ
ประโยคคำถาม : Do you speak English? คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม ?
ประโยคบอกเล่า : He speaks Thai. เขาพูดภาษาอังกฤษ
ประโยคคำถาม : Does he speak Thai? เขาพูดภาษาไทยได้ไหม ?
จะเห็นได้ว่าเพียงแค่เราเติม Do นำหน้าประโยคบอกเล่า ประโยคนั้นก็จะถูกเปลี่ยนเป็นประโยคคำถามทันที

ประโยคคำถามที่ใช้ Do หรือ Does นำหน้า จัดอยู่ใน Present simple tense ซึ่งการจะเติมทั้งสองคำนำหน้าประโยคคำถามได้ ประโยคนั้นจะต้อง
1. ไม่ใช่ประโยคที่มี Verb to be (is , am ,are) เพราะถ้าเป็นประโยคที่มี V. tobe เราจะเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นคำถาม โดยนำ Verb to be มาวางข้างหน้าประโยค โดยไม่ต้องพึ่ง Do หรือ Does เช่น
- He is a boy  กลายเป็น Is he a boy?
2. จะต้องไม่ใช่ประโยคที่มี Modal Verbs  (can, must, might, should etc.)

เมื่อไรใช้ Do เมื่อไรใช้ Does

หากประธาน คือ I / you / we / they จะใช้ Do
หากประธานคือ he / she / it จะใช้ Does

รูปแบบคำถามสั้นที่ใช้ Do หรือ Does และการตอบคำถาม

ตัวอย่างคำถามคำตอบยินยันคำตอบปฏิเสธ
Do you speak English?Yes, I do.No, I don’t.
Do I need a dictionary?Yes, you do.No, you don’t.
Does he speak English?Yes, he does.No, he doesn’t.
Does it have four legs?Yes, it does.No, it doesn’t.

รูปแบบคำถามที่ใช้ Do หรือ Does ร่วมกับ Question Words

กรณีที่เป็นคำถามแบบเจาะจงรายละเอียดมากกว่าที่ต้องการคำตอบว่าใช่หรือไม่ จะมี question words เช่น who, when, where, why, which หรือ how เข้ามาช่วยในการตั้งคำถาม โดยให้วางประโยคเหล่านี้ไว้หน้า Do หรือ Does อีกทีหนึ่ง เช่น
- Where do you  live?  คุณอาศัยอยู่ที่ไหน ?
- How do you spell your name? คุณสะกดชื่อของคุณอย่างไร ?
- When does they study ? พวกเขามีเรียนเมื่อไร ?
- What does he have for dinner ? เขาทานอะไรสำหรับอาหารค่ำ ?

have / has



have/has


จัดเป็นเวิฟช่วยอีกตัวหนึ่งที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเวิฟช่วยตัวอื่น 


จากการสังเกตของผู้สอนเอง...พบว่านร. หลายคนยังใช้เวิฟตัวนี้ไม่เป็น

ใช้ไม่ค่อยคล่อง หรืออาจจะใช้ไม่เป็นเลย 

ดังนั้น เวิฟตัวนี้เราจึงทิ้งหรือลืมมันไปไม่ได้ ค่ะ 




รูปประโยคและวิธีการใช้..........

1."Have,Has ถ้านำหน้านามมักเป็นกริยาแท้ที่แปลว่า มี



I have brown eyes= ฉันมีตาสีน้ำตาล



2.แต่ถ้าHave,Hasตามด้วย verb3 


ฟันธงได้เลยค่ะว่าเป็นกริยาช่วยของ Present perfectที่มักแปลว่า "แล้ว"

I have gone to bed=ฉันไปนอนแล้ว..........




3.ในกรณีที่ทำหน้าที่เป็นกริยาหลัก 

verb to have อาจจะแปลว่า มี หรือ รับประทาน ก็ได้ 



เช่น He has a younger brother. I usually have my breakfast at 8:00.




4.ในกรณีที่ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วย 


มักให้ verb to have อยู่หน้ากริยาช่อง 3 เพื่อแสดงให้เห็นว่า


เหตุการณ์หรือการกระทำนั้นได้เกิดขึ้นมาแล้ว 


เช่น We have been here since noon. He has worked here for three years.



5.หากใช้ในรูป ( have toที่แปลว่า ต้อง) 


has, have, had + to + กริยาช่อง 1 (v. 1) จะแปลว่า ต้อง (ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง) 



เช่น I have to go. We have to do our homework.


*จำ การที่เราจะใช้ ้ have หรือ has ในการนำหน้าประโยคคำถามนั้น 

ต้องมาจากรูปของ present perfectเท่านั้น ค่ะ


แต่ถ้า have หรือ has ในประโยคนั้น แปลว่า เรา มี


เราจะไม่ใช้ have has มาช่วยสร้าง ประโยคคำถาม 


แต่เราจะใช้ Do หรือ Does มาช่วยสร้างคำถาม ในลักษณะของpresent simple 


จำง่ายๆคือ เมื่อhave has ตามด้วยกริยาช่อง 3 นั่นล่ะคือpresent perfect ให้ใช้have has มาสร้างคำถามได้เลย


แต่ถ้าคำที่ตามหลังมาไม่ใช้ กริยาช่องที่3 แล้วล่ะก็ ไม่ใช่present perfect แน่นอนอยู่แล้ว

เช่น The thief... has stolen... the jewelry ( บอกเล่า)

Has the thief stolen the jewelry? ( คำถาม)


--------------------------------------------------------


เช่น The thief...has gun...( บอกเล่า)


Does the thief have gun? ( คำถาม)

There is / There are

การใช้ There is และ There are
@@@@@@@@@@

There is / There are มีความหมายว่า "มี" ใช้เมื่อต้องการจะบอกว่า "มีอะไรอยู่ที่ไหน" เช่น

How many books are there on the table? (มีหนังสืออยู่บนโต๊ะกี่เล่ม)
There is a book on the table. (มีหนังสืออยู่บนโต๊ะ 1 เล่ม)
How many apples are there in the basket? (มีแอ๊ปเปิ้ลอยู่ในตะกร้ากี่ผล)
There is an apple in the basket. (มีแอ๊ปเปิ้ลอยู่ในตะกร้า 1 ผล)
How many pens are there under the chair? (มีปากกาอยู่ใต้เก้าอี้กี่ด้าม)
There are two pens under the chair. (มีปากกาอยู่ใต้เก้าอี้ 2 ด้าม)

จากประโยคตัวอย่างข้างต้นจะพบว่า There is / There are ใช้แตกต่างกัน ดังนี้

1. There is ใช้นำหน้าคำนามเอกพจน์ หรือคำนามนับไม่ได้ เช่น 
There is a book on the table. (มีหนังสืออยู่บนโต๊ะ 1 เล่ม)
There is an apple in the basket. (มีแอ๊ปเปิ้ลอยู่ในตะกร้า 1 ผล)
There is water in the glass. (มีน้ำอยู่ในแก้ว)
2. There are ใช้นำหน้าคำนามพหูพจน์ เช่น 
There are two pens on the chair. (มีปากกาอยู่บนเก้าอี้ 2 ด้าม)
There are eight cats in the room. (มีแมวอยู่ในห้อง 8 ตัว)
There are dogs under the tree. (มีสุนัขอยู่ใต้ต้นไม้หลายตัว)

Article a/an, the

 Article  a/an, the 


Article  a/an, the


             1)   การใช้ และ an  
                a และ an    มีความหมายเหมือนกัน    a/an  ใช้นำหน้าคำนามนับได้เท่านั้น   โดยคำนามนั้นต้องเป็นเอกพจน์ที่ได้รับการกล่าวถึงเป็นครั้งแรกอย่างไม่เฉพาะเจาะจง   เช่น
                             A student came to see you this morning.
                       I bought new dress yesterday.
                       John is clever boy.
                เมื่อคำนามนั้นเป็นพหูพจน์ที่ได้รับการกล่าวถึงเป็นครั้งแรกอย่างไม่เฉพาะเจาะจง ไม่ต้องมี article นำหน้า   เช่น  
                       Students must not smoke.
                       Books are expensive these days.
                       John and Jimmy are clever boys.
แต่ a และ an มีข้อแตกต่างกันคือ
                 a  ใช้หน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะหรือขึ้นต้นด้วยสระที่ออกเสียงเป็นพยัญชนะ   เช่น  
                       a woman          a horse          a university
                       a European       a used car      a one-way street         
                 an   ใช้หน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยสระ   (a, e, i, o, u)    หรือคำที่ขึ้นต้นด้วย   h  ที่ไม่ออกเสียง   เช่น  
                       an ant             an island         an unfair punishment
                       an hour           an egg            an honest person     
                    ใช้   an  นำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แต่ออกเสียงเป็นสระ เช่น   
                       an MP             an SOS           an “X”

             2)  การใช้ the
                ใช้นำหน้าคำนามที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างชี้เฉพาะ เช่น เมื่อคำนามนั้นได้รับการกล่าวถึงมาแล้ว 1 ครั้ง    เช่น
                       A:   A boy came to see you yesterday. 
                       B:   Do you know the boy's name? 
                คำนามที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างชี้เฉพาะนี้อาจจะเป็น
                       -    คำนามที่นับได้  เป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์  
                       -   คำนามที่นับไม่ได้    
                ใช้นำหน้าคำนามที่เรียกของที่มีอยู่หนึ่งเดียว    เช่น
                       the earth                  the sun                the sky              
                คำนามชี้เฉพาะ   เนื่องจากมีกลุ่มคำอื่นมาขยายทำให้ชี้เฉพาะ    เช่น
                       the girl in pink
                       the man that you met
                ใช้นำหน้าคำนามที่มีคำคุณศัพท์ ( adjective) ขั้น superlative   นำหน้าหรือมีคำว่า first, second, third, etc.  นำหน้า    เช่น
                       the best speech        the last day        the second row        the only way
                ใช้นำหน้าคำ   first, second, third, etc  เมื่อคำเหล่านั้นทำหน้าที่เป็นคำสรรพนาม (pronoun)  เช่น
                       the first                   the fourth          the tenth         
                ใช้นำหน้าคำนามที่เรียกสัตว์หรือสิ่งของในความหมายแทนทั้งกลุ่มสัตว์หรือสิ่งของชนิดนั้น ๆ    เช่น
                            The seal is an endangered species.
                            The koala lives mainly in trees.
                ใช้นำหน้าคำนามที่เป็นชื่อเครื่องดนตรี   เช่น
                       Kathy plays the piano, but Nick plays the violin.
                ใช้นำหน้าคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะบางคำ   โดยปกติชื่อเฉพาะไม่ต้องมี article   นำหน้า แต่ชื่อเฉพาะบางคำต้องมี   the นำหน้า   เช่น
                       -  ชื่อคลอง (canal) เช่น   the Suez Canal   
                       -  ชื่อแม่น้ำ ( river)   เช่น the Thames, the Nile
                       -  ชื่อทะเลและมหาสมุทร   (sea and ocean) เช่น the Red Sea,  the Indian Ocean
                       -  ชื่ออ่าว ( gulf, bay) เช่น   the Gulf of Mexico, the Persian Gulf;   ช่องแคบ
                          (channel, straight) เช่น the English Channel, the Bering Straight;  
                          แหลม/คาบสมุทร ( peninsula) เช่น the Indo-China Peninsula
                       -  หมู่เกาะ ( groups of islands) เช่น the Philippines
                       -  ทะเลทราย ( desert) เช่น the Sahara Desert
                       -  เทือกเขา ( chains of mountains) เช่น the Alps
                       -  ประเทศที่มีชื่อเป็นพหูพจน์   เช่น   the Netherlands
                       -  ชื่อสถานที่บางแห่ง  เช่น   the Mandarin Oriental, the Grand Hotel
                       -  ชื่อเฉพาะที่มี   of   เป็นส่วนประกอบ ดังนี้ noun + of + noun  เช่น
                          the Tower of London  
                       -  ชื่อเฉพาะที่มีคำคุณศัพท์นำหน้า ดังนี้   adjective + noun  เช่น
                          the National Gallery, the High Street
etc. 

ข้อสังเกต        คำนามบางคำเป็นคำที่ยกเว้น ไม่ต้องมี   article  เช่น   
                       -  ชื่อคน เช่น   Mr. Johnson 
                       -  ชื่อเกม   กีฬา   อาหาร     เช่น 
                          We play tennis on Saturdays.  
                          We had porridge for breakfast this morning. 
                       -  ชื่อวัน   เดือน และวันหยุดต่าง ๆ   ศาสนา   ความเชื่อ   เช่น   Sunday, April, Easter, 
                          Buddhism, Socialism 
                       -  การพูดถึงภาษา  เช่น    
                          The letter was written in English.   แต่ถ้ามีคำว่า language ต่อท้ายจะต้องมี   the 
                          นำหน้าดังนี้     The letter was written in the English language 
                       -  ชื่อถนน   สวนสาธารณะ   จัตุรัส   เช่น    Park Avenue,  Hyde Park,  Siam Square




วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

English for kids

               
เทคนิคการสอนภาษาอังกฤษ


        
          ทุกวันนี้ การเรียนการสอนภาษาอังกฤษได้มีวิวัฒนาการ และมีทฤษฎีการสอนหลากหลายวิธี ที่ครูจะเลือกแนวทางที่เหมาะสมนำไป ดัดแปลงใช้สอนนักเรียนแต่ละคน ดังวิธีสอนต่อไปนี้
         1.วิธีการสอนไวยากรณ์และการแปล ( Grammar Transalation ) เป็นวิธีการสอนที่เน้นกฎไวยากรณ์และใช้การแปลเป็นสื่อให้นักเรียนเข้าใจบทเรียน
ลักษณะเด่น
           1.1ครูจะบอกและอธิบายกฎเกณฑ์ตลอดจนข้อยกเว้นต่างๆ
           1.2ในด้านคำศัพท์ ครูจะสอนครั้งละหลายคำ บอกคำแปลภาษาไทย บางครั้งเขียนคำอ่านไว้ด้วย
           1.3ครูเน้นทักษะการอ่าน และการเขียน
           1.4ครูเน้นวัดผลด้านความรู้ ความจำ คำศัพท์ กฎเกณฑ์ ความสามารถในการแปล
           1.5ครูมีบทบาทสำคัญมากที่สุด
           1.6นักเรียนเป็นผู้รับฟัง และจดสิ่งที่ครูบอกลงในสมุด
           1.7นักเรียนจะต้องท่องจำกฎเกณฑ์ตลอดจนชื่อเฉพาะต่างๆ ทางไวยากรณ์นั้นๆ
           1.8นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่สอดคล้องกับเกณฑ์ไวยากรณ์นั้นๆ
           1.9นักเรียนได้ฝึกนำศัพท์มาใช้ในรูปประโยค
          2.วิธีสอนแบบตรง เป็นวิธีการสอนที่เน้นทักษะการฟัง และพูดให้เกิดความเข้าใจก่อน แล้วจึงฝึกทักษะการอ่านและการเขียน โดยมีความเชื่อว่า เมื่อนักเรียนสามารถฟังและพูดได้แล้ว ก็จะสามารถอ่านและเขียนได้ง่าย และเร็วขึ้น ไม่เน้นไวยากรณ์มากนัก บทเรียนส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมการสนทนา นักเรียนได้ใช้ภาษาเต็มที่
ลักษณะเด่น
           2.1ครูคอยกระตุ้นให้นักเรียนพูดโต้ตอบ
           2.2ครูสร้างสภาพแวดล้อมหรือใช้สื่อที่เอื้อต่อการเรียนการสอน
           2.3อธิบายคำศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ และใช้ตัวอย่างประกอบเป็นของจริง
           2.4การวัดผลเน้นทักษะการฟัง และพูด เช่น การเขียนตามคำบอก การปฏิบัติตามคำสั่ง
           3.วิธีสอนแบบฟัง-พูด ( Audio-Lingual Method ) เป็นวิธีการสอนตามหลัก ภาษาศาสตร์ และวิธีการสอนตามแนวโครงสร้าง เป็นการสอนตามหลักธรรมชาติ คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน สอนครบองค์ประกอบตามลำดับจากง่ายไปหายาก
ลักษณะเด่น
          3.1ครูต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษาที่เรียนให้แก่ผู้เรียนในการเลียนแบบ
          3.2ครูจะจัดนำคำศัพท์และประโยคมาสร้างเป็นรูปประโยคให้นักเรียนพูดซ้ำๆกัน ในรูปแบบที่
แตกต่างกัน
         3.3ครูมุ่งเรื่องการฝึกรูปประโยคทางภาษาในห้องเรียนมากกว่าประโยชน์การใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน
          3.4นักเรียนจะต้องฝึกภาษาที่เรียนซ้ำๆ
          3.5นักเรียนเป็นผู้ลอกเลียนแบบ และปฏิบัติตามครูจากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยากจนเกิดเป็นนิสัย
สามารถพูดได้อย่างอัตโนมัติ
          4.วิธีการสอนตามทฤษฎีการเรียนรู้แบบความรู้ความเข้าใจ ( Cognitive Code Learning Theory ) วิธีการสอนแบบนี้ยึดแนวคิดที่ว่า ภาษาเป็นระบบที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ ความเข้าใจ และการแสดงออก ทางภาษาขึ้นอยู่กับความเข้าใจ กฎเกณฑ์ เมื่อผู้เรียนมีความเข้าใจในรูปแบบของภาษาและความหมายแล้ว ก็จะสามารถใช้ภาษาได้
ลักษะเด่น
         4.1ครูมุ่งฝึกทักษะทุกด้านตั้งแต่เริ่มสอน โดยไม่จำเป็นต้องฝึกฟังและพูดให้ดีก่อน แล้วจึงอ่านและเขียนตามวิธีสอนแบบฟัง-พูด ( Audio-Lingual Method )
         4.2ครูสอนเนื้อหาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการที่แตกต่างของนักเรียน ที่มีความสามารถในทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน ที่แตกต่างกัน
          4.3สนับสนุนให้ผุ้เรียนใช้ความคิด สติปัญญา และมีความรู้สึกที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ
          4.4ใช้ภาษาไทยในการช่วยอธิบาย แต่อธิบายเฉพาะในเรื่องการฟังและพูด
          4.5การวัดและประเมินผลในด้านภาษาของนักเรียนนั้น คือ ความคล่องแคล่วในการใช้ภาษาแต่ละขั้นตอน
           5.วิธีการสอนตามเอกัตภาพ ( Individualized Instruction ) ในรูปแบบนี้ ผู้เรียนเริ่มมีบทบาทจากการเป็นผู้รับเพียงฝ่ายเดียวมาเป็นผู้ที่มีส่วนร่วม ในการเรียนการสอนมากขึ้นเป็นลำดับ
ลักษณะเด่น
           5.1การสอนเปลี่ยนจากครูเป็นหลัก กลายเป็นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
           5.2ครูพยายามให้นักเรียนมีโอกาสศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองตามความสามารถของแต่ละบุคคล
ให้ได้มากที่สุด
           5.3ครูจะเตรียมสื่อ เอกสาร บทเรียน โปรแกรม ชุดการเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนและแนวคำตอบไว้ให้ เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง
          6. วิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง ( Total Physical Response Method ) แนวการสอนแบบนี้ให้ความสำคัญต่อการฟังเพื่อความเข้าใจ เมื่อผู้ฟังเข้าใจเรื่องที่ฟังอยู่และสามารถปฏิบัติตามได้ก็จะช่วยให้จำได้ดี
ลักษณะเด่น
          6.1ในระยะแรกของการเรียนการสอน ผู้เรียนไม่ต้องพูด แต่เป็นเพียงผู้ฟังและทำตามครู
          6.2ครูเป็นผู้กำกับพฤติกรรมของนักเรียนทั้งหมด ครูจะเป็นผู้ออกคำสั่งเอง จนถึงระยะเวลาที่
นักเรียนสามารถพูดได้แล้ว จึงเรียนอ่านและเขียนต่อไป
          6.3ภาษาที่นำมาใช้ในการสอนเน้นที่ภาษาพูด เรียนเรื่องโครงสร้างทางไวยากรณ์และคำศัพท์
มากกว่าด้านอื่นๆ โดยอิงอยู่กับประโยคำสั่ง
          6.4นักเรียนจะข้าใจความหมายได้อย่างชัดเจนจากการแสดงท่าทางของครู
          6.5ครูทราบได้ทันทีว่านักเรียนเข้าใจหรือไม่ จากการสังเกตการปฏิบัติตามคำสั่งของนักเรียน
         7. วิธีการสอนแบบอภิปราย ( Discussion Method ) เป็นวิธีการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียน รู้จักการทำงานเป็นกลุ่ม รวมพลังความคิดเพื่อพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหา หาข้อเท็จจริง
ลักษณะเด่น
         7.1ฝึกให้นักเรียนกล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็นกล้าพูด อย่างมีเหตุผล ฝึกการเป็นผู้ฟังที่ดี ฝึกให้เป็นคนมีระเบียบวินัย และอดทนที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
         7.2ครูสร้างสถานการณ์ให้นักเรียนทำงานว่า สมมตินักเรียนจะเข้าค่ายพักแรมเป็นเวลา
5 วัน นักเรียนจะต้องเตรียมเครื่องใช้อะไรไปบ้าง ช่วยกันอภิปรายและสรุปผลออกมาเป็นรายงานส่งครู
เป็นต้น      
         8. วิธีการสอนแบบโครงการ ( Project Method ) เป็นวิธีที่สอนให้ผู้เรียนทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งที่ผู้เรียนสนใจ หรือตามที่ครูมอบหมายให้ทำ
ลักษณะเด่น
         8.1 นักเรียนจะดำเนินการอย่างอิสระ และมีอิสระในการใช้ภาษาอย่างเต็มที่
         8.2ครูเป็นเพียงผู้ชี้แนะช่วยเหลือและติดตามผลงานของนักเรียนว่าดำเนินการ ความก้าว
หน้า อุปสรรคการประเมินผลงานใดบ้าง
         9. วิธีการสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์ ( Community Language Learning )
ลักษณะเด่น
        9.1ยึดผู้เรียนเป็นหลัก นักเรียนแต่ละคนจะต้องเข้าร่วมกิจกรรม
        9.2เน้นการพัฒนาความสัพพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน และระหว่างนักเรียนด้วยกัน ทำให้ผู้เรียน
เกิดความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
       9.3ครูทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านภาษาเท่านั้น ส่งเสริมให้นักเรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
       9.4เน้นการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร สิ่งที่นำมาเรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ การฝึกให้
ผู้เรียนใช้โครงสร้างประโยค คำศัพท์และเสียง ตามวิธีการสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์
       9.5การประเมินผลการเรียนนั้นจะเป็นการทดสอบแบบบูรณาการ โดยให้นักเรียนประเมินตนเองดูจากการเรียนรู้ของตนเอง และความก้าวหน้าของตน
       10. วิธีสอนตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร ( Communicative Approach ) จากข้อเท็จจริงพบว่าถึงแม้นักเรียน จะเรียนรู้โครงสร้างของภาษามาแล้วเป็นอย่างดี แต่ก็ยังไม่สามารถพูดได้หรือสื่อสารได้ดีนัก ด้วยเหตุผลนี้ นักภาษาศาสตร์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนภาษาต่างประเทศ ได้เสนอแนวการสอนแบบใหม่ คือ การสอนเพื่อการสื่อสาร โดยมีความเชื่อว่าภาษาไม่ได้เป็นเพียงระบบไวยากรณ์ที่ประกอบด้วยเสียง ศัพท์ และโครงสร้างเท่านั้น แต่ภาษาคือ ระบบที่ใช้ในการสื่อสาร

            ดังนั้นการสอน จึงควรให้นักเรียนสามารถนำภาษาไปใช้ในการสื่อสารได้ และจะต้องใช้ภาษาให้เหมาะสมตามสภาพสังคมด้วย



Video